็Hope(ฤดูร้อน2015)
ฉันก็แค่อยากมีฤดูร้อนที่ดี
ผู้เข้าชมรวม
83
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
หัวใจฉันเต้นแรงเมื่อเห็นร่างของชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนร่วมห้องเดินมาทางฉัน ฉันกำมือแน่นเผื่อจะลดความตื่นเต้นลงได้บ้างแต่เหมือนเขาจะไม่รู้ว่าฉันรออยู่และเขากำลังจะเดินไป ฉันเลยรวบรวมความกล้าก่อนจะส่งเสียงออกไป
“ ฉันมีอะไรจะบอกกับนาย ” เขาหันมาพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเหมือนเป็นการถามว่า ‘เรียกฉันงั้นเหรอ’ ฉันที่ตอนนี้ก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งจึงได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะสูดหายใจเข้าไปลึกๆเพื่อเรียกความกล้าอีกครั้ง
“ ฤดูร้อนนี้ ฉันอยากจะ... ” ขณะที่ฉันกำลังจะพูดให้จบประโยค ชายคนตรงหน้าก็ก้าวมายืนอยู่ข้างฉันก่อนจะวางฝ่ามือหนาของเขาลงบนบ่าของฉันเบาๆพร้อมกับคำพูดที่ทำให้ฉันรู้สึกตัวแข็งไปในทันที
ในหัวของฉันตอนนี้เลยเต็มไปด้วยคำถาม ทั้งที่ฉันยังพูดไม่จบทำไมเขาถึงรู้ล่ะว่าฉันกำลังจะพูดอะไร? ทำไมเขาถึงตอบเร็วนักล่ะ? แล้วที่เขาทำตัวสนิทฉันและเป็นห่วงมาตลอด เขาไม่ได้รู้สึกเหมือนกับฉันงั้นเหรอ? ทั้งหมดนี้ฉันคิดไปเองคนเดียว?
ฉันอกหักซะแล้วสิ
“ กลับมาแล้วค่ะ ”
วันนี้ฉันก็ทำได้แค่พูดกับตัวเองเหมือนทุกวัน ฉันอยากให้มีคนมาเห็นสภาพฉันตอนนี้แล้วเข้ามาปลอบบ้าง คำว่า ‘ยินดีต้อนรับกลับ’ ก็ยังดีแต่แค่ความคิดมันทำให้สิ่งที่ต้องการมันเป็นจริงไม่ได้
ฉันมองกระดาษแผ่นสีสดใสบนโต๊ะอาหารที่ถูกแก้วน้ำวางทับไว้ด้วยสายตานิ่งเรียบแล้วคว้าขวดน้ำที่วางอยู่ข้างกันยกขึ้นดื่มเพื่อดับกระหายจากอากาศร้อนแล้วหยิบมันขึ้นห้องนอนไปด้วย ทันทีที่เข้ามาในห้องฉันก็ทิ้งกระเป๋าไว้ที่โต๊ะ แต่งกายให้ตัวเองเคลื่อนไหวได้สะดวกก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงสุดที่รักที่เพิ่งจากกันเมื่อเช้าและนิ่งไปให้ความเงียบเข้าปกคลุม
ทั้งที่หลังจากสอบเสร็จแล้วจะเป็นการเริ่มต้นฤดูร้อนที่ดีแท้ๆแต่แค่เริ่มต้นก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า มันเริ่มต้นด้วยความคิดบ้าๆที่ฉันอยากจะสารภาพรักกับเพื่อนร่วมห้องเพราะคิดไปเองว่าเขารู้สึกเหมือนกันตามมาด้วยการคาดหวังว่าเมื่อฉันมาถึงบ้านฉันจะพบกับคนสองคนที่คอยเอาแต่ทำงานเพื่อให้ฉันสบายหรือสักคนรออยู่ที่บ้านพร้อมกับรอยยิ้มแต่คนอย่างฉันก็ทำได้แค่หวังแล้วก็ต้องเผชิญกับความเป็นจริงเท่านั้น
แค่ครั้งนี้อย่างน้อยก็ฤดูร้อนปีนี้ ขอให้ฉันได้มีความสุขเพิ่มอีกสักนิดเถอะ...
“ แค่นิดเดียวก็พอจริงเหรอ ”
ฉันยันตัวขึ้นจากเตียงแล้วหันไปมองทั่วห้องแต่กลับไม่เจอสิ่งผิดปกติแต่ฉันมั่นใจว่าหูไม่ฝาดฉันจึงลงจากเตียงเดินหาที่มาของเสียงจนทั่วห้องและก็เหลือที่เดียวคือที่ระเบียงที่ฉันปิดม่านไว้ ฉันยื่นมือไปจับผ้าม่านสูดหายใจเอาลึกๆเป็นการเตรียมใจเผื่อจะเจออะไรที่ไม่ควร
พรึ่บ!
ฉันหลับตาแน่นแล้วเปิดม่านออกก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ หัวใจก็เต้นเร็วด้วยความตื่นเต้นปนกลัวถึงฉันจะมั่นใจว่าหูไม่ฝาดแต่ก็หวังว่าหูจะฝาดขึ้นมาเพราะถ้าจะเจอ ฉันก็คงไม่เจอสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์แน่และเมื่อฉันเห็นเพียงความว่างเปล่าอยู่ที่ระเบียงฉันเลยเปิดประตูออกแล้วมองไปรอบๆเพื่อยืนยันเมื่อไม่พบอะไร ฉันจึงเข้าใจว่าฉันแค่คิดไปเองก่อนจะปิดประตูเข้ามาอีกครั้งแต่ก่อนที่ฉันจะหันหลังกลับไปฉันก็รู้สึกถึงเงาที่เกิดจากบางอย่างซึ่งอยู่ข้างหลัง ฉันไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรและไม่อยากรู้ด้วย ยังไงก็ตามขอให้มันออกไปที!
“ นี่เธอ ฉันไม่ใช่ผีน ะสวดมนตร์ไปก็ไม่ช่วยอะไรหรอก ”
“ จะบอกว่านายเป็นคนรึไง!? ” ฉันหันหน้าไปทางเจ้าของเสียงหล่อในทันทีด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนจะผงะเมื่อพบว่าตัวเขาอยู่ใกล้ฉันพอสมควร
“ พูดดีๆกับคนที่จะช่วยเธอหน่อยสิ ” เขาทำหน้านิ่งก่อนจะถอยหลังไปสองก้าว
“ นายจะช่วยฉัน? ”
ถึงจะแปลกไม่น้อยกับการปรากฏตัวของเขาแต่ฉันก็ทำเป็นไม่สนใจแล้วตั้งคำถามกับสิ่งที่เขาพูดแทนเพราะยังไงมันก็เป็นประโยชน์ของฉัน ถ้าการช่วยของเขาเป็นสิ่งที่ฉันเข้าใจถูกน่ะนะ
“ ทำให้ความหวังของเธอเป็นจริงไง ความสุขเล็กๆของเธอน่ะ ”
“ นายจะทำอะไรได้ ” คนที่เพิ่งเจอเมื่อไม่กี่นาทีก่อนจะรู้เรื่องอะไรทั้งความรู้สึกของฉันและสิ่งที่ต้องเจอ ฉันยอมรับว่ามันอาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยในสายตาคนอื่นแต่กับตัวฉันเองมันคือการเริ่มต้นที่เลวร้าย
“ แค่เธอหวัง ฉันก็ช่วยเธอได้แต่เธอต้องเชื่อด้วย ” เขากำของบางสิ่งขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงของเขาก่อนจะยื่นมันมาทางฉัน “ ถ้าเธอเชื่อ เธอก็แค่แตะมือของฉันแล้วสิ่งที่เธอหวังจะเป็นจริง ”
คิ้วฉันขมวดเข้าหากันเป็นปม มองมือนั่นสลับกับเขาไปมา สำหรับฉันมันฟังดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลนักเพียงแค่การสัมผัสมือเขามันจะทำให้ชีวิตของฉันดีขึ้นได้ยังไง เว้นแต่เขาจะมีเวทมนตร์ซึ่งเรื่องแบบนั้นฉันว่าเป็นไปไม่ได้หรือฉันจะคิดมากไป แต่เขาก็ดูไม่เหมือนคนโกหกเลย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังแล้วฉันจะเชื่อหรือไม่เชื่อดีเนี่ย ช่างเถอะอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วเพื่อความหวังของฉัน คิดได้แบบนั้นฉันก็เอื้อมมือไปแตะมือของชายตรงหน้าก่อนทุกอย่างจะมืดสนิท...
แสงที่ทะลุกระจกมายังเปลือกตาทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าตอนนี้คือตอนเช้า ฉันจึงยกเปลือกตากระพริบตาสักพักแล้วยันตัวเองขึ้นไปทำกิจวัตรประจำวันและจบด้วยการแต่งตัวตัวเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแล้วกลับมานอนเล่นโทรศัพท์ที่เตียง
ฉันจำได้แม่นว่าก่อนที่ฉันจะหลับไปเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่พบกับอะไรที่เปลี่ยนแปลง อาจจะเป็นเพราะฉันยังอยู่ในห้องจึงตัดสินไม่ได้ว่าสิ่งที่ฉันขอได้เกิดขึ้นจริงรึเปล่าและเมื่อเหลือบไปมองที่มุมบนของโทรศัพท์ก็พบกับเวลากินข้าวเช้าของฉัน ฉันจึงทิ้งโทรศัพท์ไว้บนเตียงแล้วเดินลงไปข้างล่างเพื่อหาอะไรกิน
“ แม่!? ” ผู้ที่ถูกเรียกเลิกมองที่กระทะมาที่ฉันสักครู่ก่อนจะไปตั้งหน้าตั้งตาผัดอาหารต่อไป ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนมองร่างของหญิงผู้ให้กำเนิดด้วยตาที่เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“ ลงมาทานสิลูก ” เธอหันมายิ้มหวานให้เมื่อเธอเทสิ่งที่ได้จากกระทะเมื่อกี้ลงที่จานก่อนจะเดินไปวางบนโต๊ะอาหารของบ้าน
ฉันฝันอยู่รึไง เหตุการณ์แบบนี้แทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลยถ้าแม่ไม่ว่างจากงานซึ่งช่วงเวลาว่างนั้นในความคิดของฉันก็คือตอนกลางคืนที่ฉันหลับไปแล้ว
“ ถ้าลูกลงมาเร็วกว่านี้อีกนิดก็จะเจอพ่อแล้วนะ ” หลังจากที่ฉันเข้ามาในส่วนของห้องทานอาหารและนั่งลง แม่ก็เริ่มการสนทนาทันที
เราสองแม่ลูกกินไปพลางคุยไปพลางอย่างสนุกสนานตามแบบที่เห็นบ่อยในหนังครอบครัวทั่วไป ไม่ว่ามันจะเป็นความจริงหรือความฝันฉันก็คิดแค่ว่าควรตักตวงมันให้มากที่สุด ถึงจะไม่ได้กินข้าวเช้าครบกันสามคนแต่แค่แม่ฉันก็ดีใจแล้วเพราะฉันรู้ดีว่าพวกท่านยุ่งกันมาก ด้วยความสงสัยฉันจึงถามแม่ไปแล้วว่าทำไมวันนี้ถึงอยู่ที่บ้านซึ่งคำตอบของฉันก็ทำให้ฉันยิ้มออกในทัน
‘ แม่ก็แค่อยากอยู่กับลูกบ้าง ’
แน่นอนฉันยิ้มแทบจะตลอดเวลาจนช่วยแม่ล้างจานเสร็จและเข้าห้องนอนมาฉันก็ยังหุบยิ้มไม่ลง ถึงจะแค่วันเดียวแต่มันก็จะเป็นความสุขให้ฉันไปอีกนาน ไหนๆก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้วนอนอีกสักหน่อยดีกว่า
“ น่าเบื่อจังนะ ”
เสียงของชายคนเดิมทำให้ฉันที่กำลังจะหลับรีบยันตัวขึ้นมานั่งและมองไปรอบตัวจนพบกับเขาที่ยืนพิงกำแพงอยู่
“ แล้วจะให้ฉันทำอะไรเล่า ” แค่ได้อยู่และรู้ว่าแม่อยู่ในบ้านหลังนี้ฉันก็พอใจจนไม่คิดจะทำอะไรนอกจากอยู่บ้านแล้วที่สำคัญถ้าออกไปข้างนอกในหน้าร้อนแบบนี้ ที่ที่จะเย็นและมีอะไรให้ทำก็มีแค่ที่ห้างเท่านั้นแต่ถ้าไปที่นั่นคนเดียวฉันก็รู้สึกเบื่อเหมือนเดิม
“ งั้นให้ฉันไปเป็นเพื่อนเธอดีมั้ย ”
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นฉันก็มายืนอยู่ที่ห้างพร้อมกับเขาจนได้เพราะเขาบอกว่าฉันควรออกมาข้างนอกซะบ้างและเหตุผลร้อยแปดที่ฉันทนฟังไม่ไหว พอฉันตัดสินใจจะไปกับเขา เขาก็หายไปและปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าประตูบ้านหลังจากที่ฉันขอแม่ออกไปข้างนอกแล้ว ถึงจะสงสัยว่าทำไมการมาของเขาถึงแปลกๆแต่ฉันคิดว่าเรื่องแปลกแบบนี้เขาคงจะไม่ตอบมันออกมาง่ายๆ
“ ทำไมตอนแรกนายถึงโผล่มาที่ห้องฉันได้ล่ะ ” แต่ฉันก็เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหวจึงลองถามออกไปแต่ก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าเขาจะไม่ตอบ
“ ... ” สิ่งที่ฉันคิดผิดซะที่ไหน เขาเงียบและยังคงเดินต่อไปข้างๆฉัน
ที่นี่คนเยอะมากอย่างที่ควรจะเป็นมีการเบียดกับระหว่างฉันกับเขาเป็นบางช่วงซึ่งทำให้หลังมือของเราชนกันอย่างไม่ตั้งใจและนั้นก็ทำให้ฉันตกใจทุกครั้ง บางครั้งตอนที่หลังมือของเราชนกันฉันก็มองเขาแต่ฉันก็อ่านสีหน้าเขาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ที่สำคัญตอนนี้เรากำลังจะไปไหน?
“ เพื่อฉันเองยังไงล่ะ ” เสียงพูดของเขาแผ่วเบาแต่ฉันก็ได้ยินมัน นั่นคือคำตอบของคำถามก่อนหน้านี้รึเปล่านะแต่ก่อนที่ฉันจะได้ถามถึงความหมายของประโยค เขาก็ชี้ไปยังคนกลุ่มหนึ่งแถวโรงหนังและฉันไม่ต้องใช้เวลานานก็เข้าใจว่าเขาต้องการให้ฉันเห็นอะไร
ชายหนุ่มที่อายุเท่ากับฉันและเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่ฉันเจออยู่ที่โรงเรียน เหมือนเขาจะเห็นฉันพอดี เขาคุยอะไรนิดหน่อยกับเพื่อนก่อนจะวิ่งมาทางฉันพร้อมกับที่คนข้างฉันถอยห่างออกไปให้เหมือนฉันอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว
“ คือว่า...ไปเดินเล่นกับฉันนิดหน่อยได้มั้ย ”
ถึงจะยังสับสนอยู่บ้างว่าทำไมคนที่ปฏิเสธคำสารภาพของฉันถึงได้ออกปากชวนแบบนี้แต่เพราะเราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันฉันเลยตกลงและไปเดินเล่นกับเขาในฐานะเพื่อนแต่อีกใจก็กังวลเกี่ยวกับคนที่พาฉันมาที่นี่แต่เมื่อหันรอบตัวเขาก็ไม่อยู่ซะแล้ว
ฉันเดินคู่เขาไปพร้อมกับคุยเรื่องต่างๆแต่ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่ฉันไม่ได้จดจ่อที่จะคุยกับตลอดทางที่เดินฉันก็คอยมองเพื่อหาคนที่พาฉันมา ฉันรู้สึกไม่ดีเลยที่ทิ้งเขาแล้วมาอยู่ที่นี่กับอีกคนถึงเขาจะยอมถอยไปเองก็เถอะแต่ทำไมเขาจะต้องทำเพื่อให้ฉันมาอยู่กับเพื่อนที่ปฏิเสธฉันด้วยล่ะ
“ เธอฟังฉันอยู่รึเปล่า? ”
“ เออ...โทษทีนะ ”
“ ไม่เป็นไร ฉันพูดอีกรอบก็ได้ ฉัน...อยากไปเที่ยวกับเธอพรุ่งนี้น่ะ ” เขาไม่สบตาตรงๆตามนิสัยของเขา เขาเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับหูที่กลายเป็นสีแดงและนั่นก็ทำให้หัวใจฉันเต้นรัว
ฉันฝันอีกแล้วสินะ คนที่พูดปฏิเสธได้หน้าตาเฉยเพิ่งชวนฉันไปเที่ยวเมื่อกี้แล้วก็หูที่แดงนั่นอีกแบบนี้ถ้าฉันจะมีความสุขก็คงไม่เป็นไรสินะถึงจะเป็นอย่างนั้นอีกใจฉันก็รู้สึกเศร้าแปลกๆเหมือนมันจะบอกว่า...ไม่ใช่
หลังจากที่ฉันแยกกับเพื่อนแล้วฉันลองเดินกลับไปที่สุดท้ายที่ฉันเจอคนคนนั้นแต่เขาก็ไม่อยู่ที่นั่นและทำให้ฉันตัดสินใจกลับคนเดียว ทั้งที่พาฉันมาแท้ๆแต่ให้กลับมาคนเดียว แย่ชะมัด
“ กลับมาแล้วค่ะ ”
“ ยินดีต้อนรับกลับ ” ฉันเพียงแค่ยิ้มตอบให้กลับแม่ก่อนจะโค้งตัวทิ้งท้ายแล้วขึ้นไปบนห้อง
ที่เขาพูดก่อนหน้านี้หมายความว่ายังไงนะ หลังจากที่ฉันเชื่อในสิ่งที่เขาพูดแล้วก็มีแค่ฉันที่ความหวังเป็นจริง ไม่เห็นว่าเขาจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่เขาทำเลย ทำไมพอพูดถึงตัวเขาฉันถึงมีแต่คำถามกันนะ รอให้เขามาก่อนค่อยถามแล้วกัน
ฉันลงมาข้างล่างเมื่อท้องของฉันเริ่มโวยวายเพราะตั้งแต่มื้อเช้ากับแม่ก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องฉันอีกเลย เมื่อฉันมาถึงห้องครัวที่มีมื้อเย็นของฉันรออยู่ในตู้เย็น ฉันไม่รีรอหยิบอะไรก็ตามที่ใช้แค่ไมโครเวฟในการอุ่นกับนมสองกล่องมาดื่มรอไส้กรอกที่ตอนนี้อยู่ในไมโครเวฟแล้ว
“ คุณไหวมั้ยคะ ” น้ำเสียงของแม่ฟังดูจะห่วงคนที่เข้ามาในบ้านมาก ฉันจึงแอบมองไปที่ห้องนั่งเล่นก็พบกับพ่อที่ตอนนี้นั่งพักอยู่บนโซฟาดูจากสีหน้าของแม่แล้วเหมือนพ่อจะเหนื่อยมากเลย
“ พอดีที่ทำงานให้กลับมาพักผ่อนน่ะแต่ผมว่าจะทำงานต่อให้เสร็จวันนี้ ”
“ แล้วพรุ่งนี้คุณจะทำงานไหวเหรอคะ ”
“ ช่วยไม่ได้นี่นา ก็คุณออกจากงานเพื่อมาดูแลลูก ผมก็ต้องทำงานหนักเพื่อพวกคุณนะ ”
“ ฉันเข้าใจแต่อย่าหักโหมนักสิคะ ”
“ ไม่ต้องห่วงผมหรอกคุณดูแลลูกให้ดีก็แล้วกัน ”
น้ำใสๆอาบไหลแก้มทันทีเมื่อได้ยินการสนทนาของทั้งสองคน ฉันเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงรีบดูดนมกล่องสุดท้ายพร้อมน้ำตาให้หมดอย่างรวดเร็วและทิ้งไส้กรอกไว้อย่างนั้นถึงมันจะเสร็จแล้วก็ตามก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนห้อง
“ ทำไมนายถึงทำแบบนี้ล่ะ! ” ฉันตะโกนออกไปเมื่อไม่พบคนที่ฉันคิดว่าเป็นต้นเหตุ ฉันมั่นใจยังไงเขาก็ต้องได้ยิน “ นายคิดว่ามันสนุกมากสินะ ”
“ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ” ฉันหันหลังแล้วก้าวยาวไปหาเขาด้วยความโกรธถึงขีดสุด ตอนนี้เหตุผลของฉันไม่เหลืออีกแล้ว!
“ เพราะนาย! นายแก้ไขมันได้ใช่มั้ย บอกมา! ” ฉันกระชากคอเสื้อเขาลงมาให้ฉันเห็นสีหน้าของเขาชัดๆว่าเขาจะทำหน้าสนุกขนาดไหนแม้ภาพตรงหน้าของฉันจะเบลอเพราะน้ำตาก็ตาม “ นายบอกให้ฉันเชื่อ ฉันก็เชื่อแล้วนี้คือสิ่งที่ฉันได้งั้นเหรอ! ”
ความทุกข์และความเศร้ารวมถึงน้ำตาที่ไหลอยู่ ถึงความหวังของฉันจะเป็นจริงแต่ถ้ารู้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้ตามมาฉันยอมให้ชีวิตของฉันเป็นแบบเดิมยังจะดีกว่า ถึงจะไม่ได้เจอใครสักคนที่บ้านแต่ฉันก็ยอมที่จะให้เป็นแบบนั้นมากกว่าที่จะให้พ่อต้องทำงานหนักแล้วต้องให้แม่เป็นห่วงท่านแบบนี้
“ ฉันขอโทษ ”
“ ทำไมล่ะ ” ฉันปล่อยมือออกจากคอเสื้อเขาแล้วทรุดลงไปกับพื้น
ขอร้อง ขอให้นี่เป็นเพียงฝันร้าย ให้ฉันมีฤดูร้อนอย่างที่ฉันควรจะมีเถอะ...
“ แบบนี้ความหวังของผมก็ไม่เป็นจริงสิครับท่าน ”
ฉันมองไม่เห็นอะไร มีเพียงแค่ความมืดเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ร่างกายของฉันไม่รู้สึกอะไรและถึงอยากจะขยับเพียงเล็กน้อยก็ทำไม่สามารถจึงได้แค่ฟังเสียงเท่านั้น เสียงเมื่อกี้คงเป็นเสียงของคนที่ช่วยฉันสินะ
“ มนุษย์เนี่ยเข้าใจยากจริง ทั้งที่ขอเองแท้ๆ ”
“ เรื่องของเธอก็ถูกครับแต่สิ่งที่ผมขอยังไม่เป็นจริง ดังนั้นท่านช่วยแก้ไขให้ทีเถอะครับ ”
“ ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าบอกแต่หากพรของเจ้าเป็นจริงแล้วเจ้ารู้นะว่าต่อไปจะเป็นยังไง ”
“ ครับ ”
ฉันลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับปาดน้ำตาออก บิดขี้เกียจพอเป็นพิธีก่อนจะเดินไปส่องกระจกเพื่อดูสภาพหน้าตัวเองเพราะฉันรู้ว่าตัวเองเพิ่งร้องไห้มาและเป็นไปตามคาดตาของฉันบวมดูไม่ดีเลยสักน้อยแต่ถ้าไม่ออกไปไหนก็คงไม่เป็นไร ฉันคิดว่างั้นนะ
“ ลูกมีคนมารออยู่ห้องล่างนะ ” เสียงของแม่หลังประตูทำให้คิ้วของฉันต้องขมวดเข้าหากัน ทำไมแม่ถึงอยู่บ้านได้ล่ะ? “ งั้นแม่ไปทำงานก่อนนะ ”
“ ... ” ฉันไม่ตอบอะไรและคิดว่าแม่คงลงไปข้างล่างแล้ว ฉันจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์เพื่อดูเวลาก่อนจะพบตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่แม่ฉันต้องออกจากบ้านเพื่อไปทำงานให้ทัน ที่สำคัญคือนี่ไม่ใช่เวลาตื่นปกติของฉัน ความจริงฉันตื่นสายกว่านี้ต่อให้ไปโรงเรียนจึงไม่มีโอกาสเลยจะที่เจอแม่และพ่อที่ออกไปพร้อมกัน
ว่าแต่ใครมารอตั้งแต่เช้าขนาดนี้นะ
ฉันหยิบแว่นกรอบใหญ่มาสวมเผื่อจะช่วยหน้าของฉันดูดีขึ้นบ้างก่อนจะลงไปห้องนั่งเล่นที่มีชายคนหนึ่งนั่งรออยู่ ถึงจะคุ้นเหมือนเคยเห็นแต่การโผล่มาของคนคนนี้ทำให้ฉันคิดว่าเป็นคนละคนกับที่ฉันเคยเจอ
“ หวัดดี ”
“ ! ”
“ ตกใจทำไมเล่า เราก็เคยเจอกันแล้วนี่นา ”
เขาคือคนที่ฉันเจอที่ห้องนอนก็จริงแต่การที่เขารออยู่ที่ห้องนั่งเล่นทำให้รู้สึกสับสน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถเข้าออกห้องฉันได้อย่างผิดธรรมดา
“ นายเป็นอะไรกันแน่เนี่ย!? ”
“ เพิ่งจะเป็นคนจริงๆเนี่ยแหละ ” ดูเขาพูดสิ เขาหมายความว่ายังไง ‘เพิ่งเป็นคน’ เขาพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำเลย
“ นะ...นายแก้ให้แล้วใช่มั้ย ”
“ ใช่ ทุกอย่างกลับมาเป็นอย่างที่เคยเป็น ”
“ ขอบคุณนะ ”
“ ฉันทำเพื่อตัวฉันเองเท่านั้นแหละ ”
จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่า ‘เพื่อตัวเอง’ ของเขาหมายถึงอะไร...
-The End-
ผลงานอื่นๆ ของ K.i.S.S ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ K.i.S.S
ความคิดเห็น